ประสบการณ์การนั่งเรือช้าข้ามฟากจากไทยมาลาว : สองวันเหมือนฝันกับบริเวณที่เหมือนไม่มีอยู่จริง
ประสบการณ์การนั่งเรือข้ามฟากจากไทยมาลาว : สองวันเหมือนฝันกับบริเวณที่เหมือนไม่มีอยู่จริง
.
ปีนี้เราได้มีโอกาสท่องเที่ยวไปหลายประเทศเกินกว่าจะจินตนาการได้ด้วยสาเหตุแตกต่างกันไป แต่ประสบการณ์หนึ่งที่ทุกครั้งที่คิดถึงยังรู้สึกถึงความพิเศษเสมอ คือ การนั่งเรือช้าข้ามฟากจากเชียงรายไปยังลาว หลายคนคงจะคิดถึงเพียงแค่การนั่งรถบัสและการนั่งเครื่องบิน แต่เพราะปีนี้เราตัดสินใจท่องเที่ยว(กึ่ง)แบคแพคเกอร์ เราจึงได้ค้นพบวิธีการนี้ ซึ่งยังสามารถแยกได้สองประเภทคือ เรือข้ามฟากแบบช้าสโลว์โบ๊ดและแบบเร็วสปีดโบ๊ต
.
เราตัดสินใจนั่งเรือเพราะต้องการทำอะไรที่รู้สึกอิสระและแปลกใหม่ ความคิดที่ว่าเราสามารถค่อยๆ เดินทางอย่างไม่เร่งรีบด้วยวิธีเฉพาะท้องที่นี้และเห็นเพียงแค่ธรรมชาติล้อมรอบเป็นสิ่งที่จุดประกายให้เลือกเดินทางในขณะนั้น เราจินตนการการท่องเที่ยวลาวว่าเป็นเรื่องน่าสนุกและต้องเจอผู้คนมีน้ำใจมากมายและคิดเพียงว่าการนั่งเรือข้ามฟากเป็นหนึ่งในการเดินทางที่เชื่อมต่อสถานที่สองที่ไว้เท่านั้น
.
หลังจากหาข้อมูล เราเลือกเดินทางข้ามแม่โขงด้วยเรือช้าเพราะหลายเว็บไซต์กล่าวว่า ถ้ายังอยากมีชีวิตอย่าเลือกแบบเร็วเลย ฟังดูแล้วดูตลกขบขันแต่เมื่อเห็นภาพถ่ายก็เข้าใจในทันที มันคือการนั่งเรือหางยาวความเร็วสูงพร้อมใส่หมวกกันน็อคเท่านั้น อีกทั้งช่วงเวลาที่เราไปเป็นหน้าฝนการนั่งเรือช้าดูท่าจะปลอดภัยกว่า แม้เกิดความกังวลกับสภาพอากาศอยู่บ้างแต่สุดท้ายฝนก็ไม่ตกเลย นับว่าเป็นโชคดี
.
อีกวิธีการหนึ่งที่ได้รับรู้จากการเดินทางกึ่งแบคแพคนี้ คือ รถกรีนบัส เพราะเราต้องไปเชียงใหม่ก่อนเชียงราย ทำให้บังเอิญได้รู้จักกับขนส่งนี้ที่เราชอบมากและคิดว่าเป็นอะไรที่เหมาะกับเมืองไทย การที่มีขนม น้ำ ห้องน้ำและคนทำงานคอยเสิร์ฟให้นับว่าดีเกินกว่าที่คิด อย่างไรก็ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ของทางระหว่างเชียงใหม่และเชียงรายก็โหดพอตัวทีเดียว
.
สำหรับการเดินทางจากเชียงรายมาลาวมีแผนการคือ เราจะเดินทางออกจากเชียงรายด้วยรถบัส ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นรถจะไปส่งเราที่ห้วยไซในตอนบ่ายวันเดียวกัน เราต้องตามหาตั๋วเรือและนอนค้างหนึ่งคืน เช้าวันถัดมาเราก็นั่งเรือแล้วมาลงที่ปากแบง นอนค้างอีกหนึ่งคืน และเช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ขึ้นเรือแล้วมุ่งหน้าไปยังหลวงพระบาง คาดการณ์ว่าจะถึงในตอนเย็น
.
สำหรับการเดินทางเราออกจากตัวเมืองเชียงรายโดยเรียกรถแท็กซี่ให้ส่งที่ขนส่งใหม่นอกเมือง (สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงรายแห่งที่ 2) ซึ่งรถที่ข้ามไปอีกฟากมีสองรอบคือตอน 10.00 น.และ 16.30 น. ตั๋วราคา 220 บาทต่อคน ไม่สามารถไปซื้อบัตรล่วงหน้าได้ บัตรขายวันต่อวัน (สอบถามมาแล้ว) ดังนั้นถ้ากลัวตั๋วจะหมดก็ต้องรีบมาเร็วๆ ซึ่งจากประสบการณ์ ตอนออกจากสถานีที่นั่งเหลืออยู่เยอะทีเดียว แต่พอเดินทางไปแล้วเขาไปหยุดอีกจุดจอดรถหนึ่งซึ่งก็มีคนขึ้นมาเยอะจนเกือบเต็ม เราก็ไม่แน่ใจว่าระบบการขายบัตรเขาล็อกที่นั่งยังไงกันแน่ ดังนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ก็คงเป็นวิธีเดียวที่นักเดินทางจะสามารถทำได้
.
เราตัดสินใจเลือกซื้อตั๋วรถรอบ 10 โมงเช้าเพราะคิดว่าจะถึงลาวประมาณบ่ายโมงกว่าๆ มีเวลาจะได้เดินทางหาที่พักแบบวอคอิน เพราะจากการหาข้อมูลแล้ว มีที่พักให้เลือกมากมายในราคาที่ลดได้ ส่วนรถที่นั่งระหว่างทางไม่มีการจอดให้หยุด เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มรู้สึกว่าอยากเข้าห้องน้ำก็ควรบอกเขาแต่เนิ่นๆ เนื่องจากห้องน้ำไม่ได้หาได้ง่ายๆ ข้อนี้จริงๆเราก็แปลกใจเหมือนกันเพราะนั่งรถนานมาก ควรจะมีอย่างน้อยหนึ่งสต๊อปที่ "จำเป็นต้อง" หยุดให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำนะ อย่างรอบของเราเริ่มจากฝรั่งคนหนึ่งอยากเข้า ไปๆ มาๆ พอหาห้องน้ำได้ คนแทบจะทั้งรถรีบวิ่งมาเข้ากันใหญ่ แต่หลังจากนั้นเราก็พยายามไม่กินน้ำเยอะเพื่อป้องกันความยุ่งยาก
.
พอเรามาถึงด่านตม. เราคนไทยก็เขียนใบ departure จากฝั่งไทยไปแล้วก็ใบ arrival ทางฝั่งลาวพร้อมจ่ายเงิน 40 บาท สำหรับต่างชาติที่ต้องทำวีซ่า เขาจะต้องเสียเงิน $36 และให้รูปถ่ายไป ตรงนี้ถ้าใครต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาอ่านในพันทิปได้เลย สำหรับการแลกเงินสามารถแลกจาก ตม. ฝั่งไทยหรือฝั่งลาวก็ได้ จุดนี้พวกเราจอดรอที่ด่านตม.กันนานทีเดียว สาเหตุหลักก็คือต้องรอวีซ่าของชาวต่างชาติ
.
หลังจากนั่งรถจนปวดหลัง เราก็มาถึงสถานีขนส่งหัวยไซ เราไปถึงประมาณสี่โมงเย็น เอาของลงแล้วนั่งตุ๊กตุ๊กต่อ ค่าตุ๊กตุ๊กประมาณ 100 บาทแต่เราขอลดเหลือ 80 บาท ข้อควรรู้คือ คนลาวใช้เงินกีบเริ่มต้นที่หลักพัน เช่นถ้าเขาพูดว่า 20 คือ 20พันหรือ20,000 กีบ วิธีการคิดเงินคร่าวๆ เพื่อใช้ในชีวิตประจำวันที่ลาวคือ ให้ตัด 000 แล้วคูณ 4 แทน หรือง่ายกว่านั้น จำว่า 5,000 กีบ คือ 20 บาท เราได้สังเกตเห็นว่า การแลกเงินและขอยืมเงินกันและกันเพื่อทอนลูกค้าของเหล่าคนขับรถตุ๊กตุ๊กเป็นทักษะพิเศษที่ต้องมากับอาชีพนี้ ทุกคนต้องรู้จักกันและต้องเชื่อใจว่าเขาต้องคืนเงิน นับว่าเป็นกลุ่มคนที่น่าสนใจทีเดียว
.
เรามาถึงห้วยไซอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะช้ากว่าที่คิดและร่างกายแหลกเพราะการเป็นแบคแพคเกอร์ สิ่งแรกที่รู้สึกคือ ความแห้งแล้งและเมืองที่เงียบเหงา ทั้งที่ยังไม่ดึกแต่เราแทบไม่เห็นผู้คนเดินผ่านไปมาเลยด้วยซ้ำ ที่นี่เหมือนเป็นเมืองพิศวง ทุกอย่างแทบไม่ไหวติง เห็นดินทรายเต็มไปหมด เราเริ่มเดินหาที่พักกันสักที่สองที่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกที่พักสุดป๊อปปูล่าในย่านนั้นเพื่อตัดปัญหา แล้วก็พบว่าที่พักไม่ค่อยโอเค ค่อนข้างเก่า สกปรก ทั้งห้องน้ำและเตียงนอน ห้องแรกที่ได้พักดันเจอ bed bug เสียด้วย ความจริงต้องการย้ายออกแต่เพราะจ่ายเงินไปแล้วก็เลยแค่ขอย้ายห้องที่ได้เตียงใหม่กว่านั้น
.
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย เราก็สอบถามราคาเรือช้าซึ่งทางโรงแรมคิดแพคเกจละ 250,000 กีบรวมตุ๊กตุ๊กจากโรงแรมไปส่งที่ท่าเรือ รีเซปชั่นนิสเองก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าเราควรรีบจองเพราะเขาจะได้โทรจองที่นั่งจากท่าเรือให้เลย เขากล่าวว่าเวลาไม่มีผลกับการออกเรือที่ท่า ถ้าเรือเต็มก็ไปเลย ซึ่งช่วงที่ไปคือหน้าโลว์ จะมีเรือแค่หนึ่งรอบต่อวันเท่านั้น แน่นอนว่าในตอนนั้นเราไม่เชื่อว่าเขาพูดจริงหรือเพียงแค่ต้องการหลอกล่อให้เราซื้อกับเขากันแน่
.
พวกเราขอเวลาตัดสินใจ เราเดินไปรอบๆ หาร้านอาหารท้องถิ่น จากนั้นก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ความตั้งใจเดิมเพียงแค่ต้องการไปเห็นท่าเรือแล้วก็เดินดูเมือง แต่เราก็เดินเลยจนบังเอิญไปเจอตลาดสดจึงได้ซื้อผลไม้สำหรับเป็นเสบียงในวันพรุ่งนี้ เราพบว่าเมืองโดยทั่วไปนับว่าไม่ค่อยมีอะไรจริงๆ ความเฉพาะตัวนี้มันมากเสียจนเรารู้สึกถึงความพิเศษของมัน เหมือนเป็นเมืองที่ทุกอย่างหยุดนิ่ง ไม่มีการติดต่อจากโลกภายนอก ร้านค้าที่เรียงรายก็เป็นของชาวบ้านกันเองเท่านั้น เราไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะหน้าโลว์ด้วยหรือเปล่า ทำให้เมื่อวานห้วยไซที่ควรจะเป็นเมืองท่องเที่ยวในความคิดเรากลายเป็นดูเหมือนเมืองร้าง
เราเดินกลับไปยังท่าเรือพบว่าตั๋วจริงๆ ราคา 210,000 กีบแต่ตอนนี้ทางท่าเรือได้เลยเวลาทำการแล้ว ต้องมาซื้อตอนเช้าแทน ด้วยระยะทางหนึ่งกิโลกว่าๆและความแน่นอนเราตัดสินใจซื้อตั๋วกับโรงแรมแทน เราสังเกตเห็นว่าบริเวณท่ามีร้านค้าหลายร้าน พวกเราจึงตัดสินใจมาซื้อเสบียงขึ้นเรือในตอนเช้า
.
วันรุ่งขึ้น พวกเราตื่นมาทานอาหารเช้าก่อนตุ๊กตุ๊กมารับ แล้วก็พบว่าช่วงเช้าของที่ห้วยไซดูคึกคักกว่าตอนเย็นมากทีเดียว ด้วยความที่เราไม่มีเวลาจึงเลือกทานอาหารร้านฝั่งตรงข้ามที่ถือว่าแพงเอาเรื่อง ระหว่างที่ทานอาหารเราได้เห็นชาวต่างชาติคนหนึ่งที่กำลังโวยวายร้องไห้ จับความได้ว่าเธอตกเรือของวันก่อนหน้า ความจริงแล้วหากมองย้อนกลับไปสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้โหดร้ายหรือไม่มีทางออกสักหน่อย เธอคนนั้นสามารถนอนค้างอีกคืน ซื้อตั๋วแล้ว รอวันพรุ่งนี้ ค่าเรือเองก็ไม่ได้มากมายหากเทียบเป็นเงินจากประเทศตะวันตก แต่การตกเรือเมื่อวานกลับส่งผลกระทบทางจิตใจกับเธอมาก ในตอนนั้นเองเราก็ไม่ค่อยเข้าใจ จนกระทั่งจบทริปถึงได้เข้าใจว่าการเดินทางกึ่งแบคแพคหลายอาทิตย์ ส่งผลอย่างชัดเจนกับความคิดที่เกิดขึ้นในตัวเราโดยเฉพาะความเครียดซึ่งเกิดจากความไม่แน่นอนในสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญนั่นเอง
.
หลังจากทานเสร็จเราก็รีบกลับโรงแรมไปเช็คเอ้า ช่วงก่อนรถมารับประมาณ 5 นาที ตุ๊กตุ๊กเดินมาเคาะตามห้องที่จองไว้พร้อมตะโกนเรียก นับว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกแต่ก็ดีทีเดียว พวกเราคนแปลกหน้าหกคนขึ้นรถตุ๊กตุ๊กแล้วเริ่มแนะนำตัวพูดคุยกัน ในขณะนั้นเองเรานึกไม่ออกเลยว่าคนเหล่านี้จะทิ้งความทรงจำไว้กับเรายังไงบ้าง เราไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าเราจะต้องติดอยู่กับคนพวกนี้อีกสองวัน
.
พี่คนขับจอดรถตุ๊กตุ๊กที่ท่าเรือ เขาขอพาสปอร์ตพวกเราทั้งหมดแล้วเดินไปที่ทำการท่าก่อนจะกลับมาพร้อมตั๋วเรือที่เขาแนะนำให้เก็บไว้ให้ดีเนื่องด้วยเราต้องใช้ใบนี้อีกครั้งจากเรือที่ปากแบงเข้าหลวงพระบาง หากทำหายต้องจ่ายเงินซื้ออีก พวกเราเอาของลงจากรถ บอกลาพี่คนขับตุ๊กตุ๊กที่คงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว แล้วเดินมาลงเรือที่ตอนนั้นว่างเปล่าไม่มีใครสักคน ขณะนั้นเราคิดจริงๆ ว่าถูกหลอกให้มาเช้าเกินควร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากการรีบจับจองที่นั่ง กระเป๋าและเป้ของพวกเราถูกใส่ไว้ใต้ท้องเรือ ซึ่งหากมันเต็มกระเป๋าสัมภาระของคนมาทีหลังจะถูกลำเลียงไปกองทับกันเป็นพะเนินด้านหลังของเรือแทน ส่วนจักรยานก็สามารถขนมาได้ โดยจะถูกวางผูกติดเอาไว้ด้านบนหลังคาเรือ สำหรับที่นั่งนั้นไม่ได้เป็นไม้กระดานที่ต้องเตรียมเบาะมาเองแบบที่เราได้อ่านเจอ ตอนนี้เบาะไม่เป็นสิ่งจำเป็นเลยเพราะเขาเปลี่ยนที่นั่งเป็นเก้าอี้รถตู้มาเรียงต่อกันสองด้าน ด้านละสองแถวจนสุดลำแล้ว นับว่าสบายในการเดินทางระยะยาวแต่ก็ถือเป็นความผิดแปลก ผิดที่ผิดทางเหมือนกันกับภาพที่เห็น
.
ถึงแม้บนเรือจะมีบาร์เล็กๆ ขายน้ำดื่ม เบียร์และขนม แต่เราแนะนำว่าพอจองที่เสร็จควรเดินไปหาซื้อเสบียงมาทานเพราะระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เลย เราเองก็เตรียมขนมซอง ทิชชู่ ยาแก้เมาเรือมาจากไทยแต่ว่าน้ำดื่มและแซนวิชแบบฝรั่งเศสเราซื้อเอาที่ท่า ข้อหนึ่งที่เราต้องทำตัวให้ชินคือ ที่ลาวไม่มี 7-11 ดังนั้นของที่ซื้อจะแล้วแต่ร้านและไม่มีราคากลางที่แน่นอน บางร้านเองก็ไม่ได้ปิดป้ายราคาด้วยซ้ำไป
.
ในที่สุดเรือก็ออกจากฝั่งประมาณ 11.45 น. อาจจะเป็นเพราะเรือมีเพียงรอบเดียว คนจึงแน่นเต็มลำ บนเรือเราเห็นคนหลายกลุ่ม ทั้งคนที่อ่านหนังสือ คนที่คุยกันเรื่อยๆ และอยู่อย่างสงบ (เช่นเรา) คนที่พยายามสร้างเพื่อนและคนที่ตั้งปาร์ตี้อยู่หลังเรือ ในวันนี้เรารู้สึกถึงทุกอย่างได้ดี สามารถรับลมและมองธรรมชาติได้อย่างเต็มตา ได้มีความคิด ได้ตกตะกอน สองฟากฝั่งที่เราเห็นแค่เกาะและป่าเขาทำให้เราไม่แน่ใจว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน เราได้หลับ ได้เห็นแม่โขงสุดลูกหูลูกตา เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนขับเรือรู้ได้อย่างไรว่าเส้นทางไหนไปที่ไหนแต่สุดท้ายเขาก็พาเราส่งถึงที่ได้ ตามกำหนดการ เราควรจะใช้เวลา 6-7 ชั่วโมงบนเรือ แต่เรามาถึงปากแบงประมาณ 17.30 น. ซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่คิดมาก
.
สำหรับเพื่อนร่วมเดินทางที่เราจำได้ มีคู่รักวัยรุ่นจากเบลเยี่ยม ชายหนุ่มดูขบถกับแฟนสาวผู้เก็บตัว, หญิงสาวชาวแคนาดาหน้าเหมือนอาร์ยา สตาร์คที่มาเที่ยวคนเดียว, ชายหนุ่มชาวออสเตรเลียที่ปั่นจักรยานมาจากสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย พม่า ลาวและจะไปเจอพี่ชายที่เวียดนาม ในครั้งแรกที่ฟังเรารู้สึกว่ามันสุดยอดมาก แต่เรื่องตลกคือ ทุกครั้งที่เขาเจอใคร เขาจะพูดเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ อย่างกระตือรือร้น แน่นอนมันเป็นประโยคแนะนำตัวที่เท่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลังจากเราได้ยินเขาพูดเป็นครั้งที่ห้า ความสนใจในเรื่องของเขาก็ลดลง, สาวบราซิลกับหนุ่มอังกฤษที่เพิ่งได้มารู้จักกันและความสัมพันธ์ที่เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วระหว่างวันแรกและวันที่สองของการนั่งเรือ จะเห็นได้ว่าการเพิ่มคาแรคเตอร์ให้บุคคลตรงหน้าและพยายามคาดเดาว่าเขาเป็นคนแบบไหน หรือถ้าหากนี่เป็นซีนในหนังคือซีนอะไรกลายเป็นเรื่องสนุกที่เราทำตอนอยู่บนเรือ
.
พอเรือเทียบท่าที่ปากแบง เราเห็นได้ชัดว่าคนเริ่มจับกลุ่มกันทั้งที่พวกเขาไม่ได้รู้จักกันมาก่อนหน้า พวกเขาตัดสินใจไปด้วยกัน พยายามสร้างเพื่อนรอบตัวเพื่อให้รู้สึกปลอดภัยและมั่นคงทางใจ เรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นทันทีที่พวกเราเทียบท่าที่ปากแบง พวกเราพบกับกองทัพซอมบี้คนของโรงแรมพยายามโชว์ภาพที่พักของพวกเขาพร้อมกับต้อนคนให้ขึ้นรถกระบะให้ได้มากที่สุด ภาพที่เห็นแปลกตาและน่าตกใจมาก เพราะช่างตรงข้ามกับห้วยไซอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าที่นี่ใครต้อนคนขึ้นรถได้มากก่อนคือได้เปรียบ ตอนแรกเราตัดสินใจขึ้นตามไปแต่รู้สึกแปลกๆ เราก็ตัดสินใจลง แน่นอนพวกเขาจะบอกก่อนว่าไม่ชอบก็ไม่เอาได้แต่เราคิดว่า ถ้าเราไปถึงตรงนั้นเราก็คงจะขี้เกียจแล้วและตัดสินใจเอาทั้งที่ไม่ชอบอยู่ดี สุดท้ายเรากับคนอีกนิดหน่อยตัดสินใจเดินหาที่พักบริเวณที่ใกล้ท่าเรือนั้น ระหว่างทางเจอเด็กน้อยเดินตามและพยายามขอขนม เราแสร้งทำไม่สนใจ นักท่องเที่ยวบางคนเจอเด็กโตหน่อยพยายามจะมาช่วยถือกระเป๋าแต่พวกเขาก้ได้แต่ยิ้มปฏิเสธ
.
ด้วยความโชคดีเราเดินไปไม่ไกลก็เจอที่พักที่ถูกใจ เจ้าของเป็นหญิงสาวอายุไล่เลี่ยกับเรา เธอพูดไทยได้ เธอกล่าวว่าเธอไม่สามารถลดราคาได้เหมือนคนเหล่านั้นและเธอไม่ต้องการไปแย่งลูกค้าที่ท่าเรือเพราะห้องของเธอมีมูลค่า เป็นห้องแอร์ สะอาด เธอเพิ่งซื้อกิจการมาและทำการรีโนเวท เราขึ้นไปดูห้องแล้วตัดสินใจพักทันที เธอไม่ได้โกหกเรื่องที่พักของเธอเลย สิ่งที่ตลกมากคือการอาบน้ำอุ่นและกระดาษทิชชู่ฟรีกลายเป็นความหรูหราสำหรับเรา โรงแรมเธอยังมีเรือนอาหารติดริมน้ำโขง อาหารอร่อย ราคาสมเหตุสมผล เราได้ทานอาหารที่ดีในบรรยายกาศที่ผ่อนคลาย ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาอีกครั้ง คืนนั้นเราเลือกที่จะนอนเร็ว แม้ว่าบาร์ใกล้เคียงจะคึกคักเพราะนักท่องเที่ยวจากเรือเราลงไปเที่ยวอย่างมากมายก็ตาม
.
สำหรับเสบียงวันสุดท้ายของการนั่งเรือ เราสั่งอาหารเช้าจากโรงแรมไว้ โรงแรมบอกว่าเรือออก 9.30 น. เราจึงเลือกออกจากที่พักตอน 9 โมง แต่พอมาถึงกลับพบว่าเรือเกือบเต็มแล้ว บางคนก็มาตั้งแต่ 7-8 โมงเช้า เจ้าของโรงแรมอีกคนที่มาส่งเราก็แปลกใจ เขารีบถามคนขับเรือว่าออกกี่โมงกันแน่ คนขับกลับตอบมาเหมือนเป็นเรื่องปกติว่า เวลาไม่มีผล คนเต็มก็ออกเลย เขาตกใจมากแต่เรากลับตระหนักได้ว่ารีเซปชั่นนิสที่ห้วยไซไม่ได้โกหกจริงๆ ด้วย!
.
ถึงแม้ประสบการณ์การนอนค้างแรมจะเป็นสุขมากกว่าที่ห้วยไซแต่ประสบการณ์การนั่งเรือนั้นแย่กว่ามาก เพราะเราประมาทเกินไปในเรื่องเวลา ทำให้ที่นั่งมีจำกัด เราไม่สามารถเลือกคนที่จะนั่งกับเราได้ ครั้งนี้เราได้นั่งกับคนที่เฟรนลี่มากแต่เธอพูดไม่หยุด โดยเฉพาะกับคนด้านหลังเรา สำหรับพวกเขาการนั่งเรือคือการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างแท้จริง พวกเขาใช้ทุกนาทีพยายามเรียนรู้อีกวัฒนธรรมหนึ่งทั้งท่ีบางอย่างที่เราได้ยิน เรารู้สึกว่าไร้สาระมากที่จะพูดถึง มันเหมือนพวกเขากระหายที่จะพูดถึงความแตกต่างและกระหายที่จะสร้างเพื่อนโดยไม่ได้ใช้สตินัก เราเห็นหญิงสาวชาวแคนาดาตรงหน้านั่งข้างหนุ่มนักปั่น ตอนแรกเธอก็พยายามสร้างเพื่อนแต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะอยู่กับตัวเองและอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ เราอิจฉาเธอจริงๆ ส่วนเราวันนี้ไม่สามารถจะปล่อยใจไปกับการนั่งเรือได้เลย ปาร์ตี้ของเด็กหลังห้องที่กำลังจัดอยู่ท้ายเรือส่งเสียงดังกว่าเมื่อวาน ส่วนหญิงสาวชาวบราซิลกับหนุ่มอังกฤษได้ขยับความสัมพันธ์จากคนเพิ่งรู้จักเป็นคู่รักกันแล้ว
.
สิ่งที่พอจะทำให้เราสนุกและลืมเรื่องน่าหงุดหงิดของวันนี้ คือการได้เห็นคนลาวที่อาศัยตามเกาะนั่งเรือเข้าหลวงพระบาง พวกเขาต้องมายืนรอเวลาที่คาดว่าเรือจะผ่านมา แล้วใช้วิธีโบกเสื้อหรือผ้าเพื่อให้คนขับเห็นและจอดรับ เราได้เห็นเด็กแก้ผ้าเล่นน้ำกันเป็นกลุ่ม เด็กวิ่งมาดูคนต่างชาติมากับเรือที่เทียบจอดเหมือนเป็นเรื่องพิเศษประจำวัน ได้เห็นวัวเดินบนเขา เห็นหมูป่าวิ่งเล่น มีคนเอาปลาที่ตกได้แต่ยังไม่ตายมาขึ้นเรือ ไก่หลายตัวที่อยู่ในสุ่มก็ขนเอามาไว้ด้านหน้าเรือ เรือขาไปหลวงพระบางนั้นแน่นขนัดเสียจนบางคนที่ขึ้นมาใหม่ต้องนั่งพื้นบริเวณหัวเรือ หลายครั้งเราคิดว่าเรือเต็มแล้วก็ต้องตกใจ เพราะคนขับยังสามารถจอดรับคนได้เรื่อยๆ อย่างไม่น่าเชื่อ เราได้เห็นชาวลาวเดินทางเป็นครอบครัว เตรียมส้มตำและเบียร์มากินบนเรือเหมือนเป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่ธรรมดาเป็นประจำอีกด้วย
.
ในที่สุดหลังจากการเดินทางอันยาวนานและเหนื่อยอ่อนด้านโสตประสาทเพราะไม่ได้อยู่อย่างสงบเงียบเป็นเวลาหลายชั่วโมง เราก็มาถึงท่าหลวงพระบาง ชาวบ้านลงกันทุกคน นักท่องเที่ยวหลายคนเถียงเราเมื่อเขาคิดว่าท่าเรือหลวงพระบางอันไกลจากตัวเมืองนี้ไม่ใช่จุดหมายที่พวกเราจะลง พวกเขาคาดหวังว่าเรือจะไปอีกที่ท่าใกล้กว่านั้น บางคนมั่นใจมากถึงขนาดพูดกับเราอย่างขำขันว่าถ้าหากเธออยากลงเธอก็ลงได้เลย เราเองก็พูดภาษาไทยกับคนลาวอีกหลายครั้งจนมั่นใจแล้วตัดสินใจลง จากนั้นเราต้องจ้างตุ๊กตุ๊กเข้าเมือง ซึ่งเป็นราคาตายตัวไม่สามารถลดได้ เราเห็นว่าเมื่อคนขับได้เงิน เขาต้องแบ่งให้นายท่าในทันทีก่อนจะขับรถออกมาด้วย
.
หลังจากมาถึงหลวงพระบาง เราก็เหมือนกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง นาฬิกาดูเหมือนจะเดินในเวลาเดิม ผู้คนใช้ชีวิตเหมือนปกติ หลายครั้งที่เราได้เจอคนที่เดินทางมาด้วยกัน ทั้งจากรถบัสข้ามฝั่งและบนเรือ แต่ไม่มีใครทักใครทั้งสิ้น เห็นจะมีแต่เพียงคู่เบลเยียมเท่านั้นที่ได้ยิ้มให้กันเพราะบังเอิญเจอกันทั้งที่หลวงพระบางและวังเวียง เราได้เห็นสาวแคนาดาหน้าเหมือนอาร์ยาอีกครั้ง เธอปั่นจักรยานเล่นคนเดียวในหลวงพระบาง ส่วนคู่สาวบราซิลกับหนุ่มออสเตรเลียเราก็ได้เจอพวกเขากับเพื่อนที่วังเวียงเช่นกัน ถ้าเราไม่รู้คงคิดว่าพวกเขาเป็นคู่รักและมาเที่ยวด้วยกันแต่แรกทีเดียว สำหรับคนอื่นๆ เราไม่ได้เห็นอีกเลยหลังจากลงจากเรือ
.
ถึงแม้ว่าในตอนจบเรามองย้อนกลับไปแล้วเราไม่แน่ใจว่า ทำไมเราถึงต้องเลือกการเดินทางแบบนี้ แต่เราก็ได้เห็น ได้ตกตะกอนอะไรหลายอย่าง ได้คุยกับตัวเอง ได้คุยกับคนรอบข้างเยอะมาก ในการเดินทางที่เราไม่มีวายฟาย ไม่มีนาฬิกา ไม่มีอะไรให้ไขว้ไขวนอกจาก สายลม แม่น้ำโขงและเกาะ ทั้งการเจอชาวบ้านในแต่ละเกาะก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างมาก เราเรียนรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในทริปนี้ก็จะแค่เป็นความทรงจำของคนที่ร่วมเดินทางกันมาในทริปนี้ ถึงจะดูเหมือนเป็นสองวันเดินทางที่เพียงแค่เพื่อเชื่อมต่อสองสถานที่สองแผ่นดินด้วยแม่น้ำโขงแต่ประสบการณ์นี้มันไม่ใช่ธรรมดาที่จะสามารถบรรยายายให้คนอื่นเข้าใจได้ หลายคนที่เราเจอภายในสองวันนี้ เรายังจำหน้าเขาได้ จำว่าสิ่งที่เขาคุยมีอะไรบ้าง ทุกคนเหมือนพยายามจะหาเพื่อนในทริปนี้ แต่เมื่อทุกคนเมื่อไปถึงที่หมายก็ต่างแยกย้ายกันไป เหมือนกับว่าทริปเรือสองวันนี้เป็นความฝันเท่านั้นเอง
.
สำหรับทริปลาวต่อจากนั้นก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ ทั้งค่าครองชีพที่ถึงแม้เพื่อนลาวของเราจะบอกมาแล้วว่าสูงพอๆ กับกรุงเทพฯ แต่เพราะการเชื่อในกระทู้รีวิวพันทิปทำให้เราประมาทในการใช้จ่าย, การถูกกระชากกระเป๋าภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงที่มาถึง แม้ทรัพย์สินจะไม่สูญหายแต่เราก็บาดเจ็บจนต้องไปโรงพยาบาล, การลืมคิดถึงประกันภัยทำให้ลืมที่จะเก็บหลักฐานทั้งการไปหาตำรวจและการขอเอกสารจากโรงพยาบาล, ความไม่ประทับใจต่อเหตุการณ์ที่โรงแรมในหลวงพระบางและการที่ไม่สามารถสนุกได้อย่างเต็มที่ที่วังเวียงเพราะไม่สามารถเล่นกิจกรรมทางน้ำได้ ถึงแม้จะพยายามมีความสุขกับปัจจุบันแต่การเปลี่ยนผ้าพันแผลทุกสองวันกลายเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนอยู่ตลอด ใครจะไปนึกว่าความประทับใจในทริปลาวมากที่สุดกลับกลายเป็นการนั่งเรือนี้เอง ความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าเราอยู่ที่ไหน ผู้คนในเมืองที่เราไม่แน่ใจกับการมีอยู่ของพวกเขา ชาวบ้านในห้วยไซและปากแบงที่ได้พบบุคคลแปลกหน้าเพียงแค่หนึ่งคืนก่อนที่เขาจะเดินทางต่อไป ช่างเป็นการมีอยู่ที่น่าพิศวง ลี้ลับและประหลาดใจ ไม่ใช่สถานการณ์ที่ทุกคนจะประสบพบเจอได้ นับว่าเป็นโชคดีที่ในความทรงจำของทริปนี้เรามีเหตุการณ์นี้รวมอยู่ด้วยจริงๆ