top of page

[Review] To each his own ちょっと今から仕事やめてくる


.

เนื่องด้วยได้เดินทางเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ทำให้ได้มีโอกาสดูภาพยนตร์หลายเรื่องที่ยังไม่เข้าไทยบนเครื่องบิน และหนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง ちょっと今から仕事やめてくる (Chotto Ima Kara Shigoto Yamete Kuru) หรือภาษาอังกฤษคือ To each his own ซึ่งสร้างมาจากหนังสือที่ประพันธ์โดย เอมิ คิตากาว่า เขียนบทและกำกับโดย อิซุรุ นารุชิม่า สำหรับนักแสดงนำคือ โซตะ ฟูกุชิ และ อะซูกะ คุโด

.

สำหรับเนื้อเรื่องว่าด้วย พนักงานบริษัทชื่ออาโอยาม่า (อะซูกะ คุโด) เริ่มรู้สึกกดดันและไม่มีความสุขกับการทำงาน เขาทำอะไรก็ผิดพลาดแถมยังถูกด่าทอจากหัวหน้าตลอดเวลาจึงเริ่มรู้สึกไร้ค่า ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจจะกระโดดรถไฟ แต่ทันใดนั้นเอง ยามาโมโตะ (โซตะ ฟุกุชิ) เพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมก็ได้ปรากฏตัวขึ้นและช่วยเขาจากการคิดสั้นในครั้งนั้น แน่นอนว่าเรื่องราวดำเนินไปว่าถึงแม้อาโอยาม่าจะจำยามาโมโตะไม่ได้เลยก็ตามแต่เขาก็มีความสุขมากขึ้น พยายามมองโลกในแง่บวกมากขึ้น แต่ทีนี้ดันมามีจุดหักมุมก็คือ อาโอยาม่าดันไปค้นพบว่า “ยามาโมโตะ” คนนี้ได้ฆ่าตัวตายไปเมื่อสามปีก่อน…

.

เพราะจุดหักมุมนี้แหละที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีบรรยากาศต่างกันสองแบบช่วง คือ ในครึ่งแรกจะเป็นแนวแฟนตาซีกับการที่อาโอยาม่าใช้เวลาร่วมกับยามาโมโตะที่”เป็นวิญญาณ” ส่วนในครึ่งหลังจะเป็นแนวดราม่าเพราะเฉลยทุกอย่างและการตัดสินใจต่างๆของอาโอยาม่าแล้ว ส่วนตัวแล้วเราชอบครึ่งแรกเป็นอย่างมาก เพราะหนังสามารถทำให้เราเองก็สงสัยไปกับตัวละครยามาโมโตะไปด้วยว่าสรุปเขาเป็นใครกันแน่ เขาเป็นคนหรือวิญญาณ อีกทั้งเรายังร่วมต่อสู้และเป็นกำลังใจให้อาโอยาม่ามีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย เราคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดความรู้สึกกดดันและสิ้นหวังของตัวละครได้อย่างดีโดยเฉพาะฉากกินไม่ได้นอนไม่หลับ ขณะเดียวกันช่วงเวลาสดใสกับมิตรภาพใหม่นี้ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นและมีความหวัง

.

สำหรับส่วนที่ชอบที่สุดของเรื่องนี้อยู่ในส่วนที่สำคัญที่สุดทางฝั่งของอาโอยาม่าซึ่งจะเก็บไว้เขียนท้ายสุดเพราะจำเป็นต้องสปอย ดังนั้นเราจะมาเขียนถึงสิ่งที่ไม่ชอบของหนังเรื่องนี้ก่อน นั่นคือส่วนเฉลยของยามาโมโตะ

.

เราเข้าใจว่ายามาโมโตะก็เป็นตัวละครสำคัญของหนัง แต่ถึงอย่างนั้นก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตอนจบพยายามเล่าเรื่องของยามาโมโตะนานมากเกินไป เรารู้สึกว่าหากมี voice over แล้วก็ไม่ต้องเล่าด้วยภาพซ้ำอีก สามารถตัดสั้นลงกว่านี้ได้ แต่ก็อาจจะเป็นแนวหนังญี่ปุ่น เรื่องก็เลยต้องปล่อยไปเรื่อยๆ เสียจนแอบน่าเบื่อ (แต่ถ้าหากใครชอบน้องโซตะก็คงจะมีความสุขดูหน้าไปเพลินๆ) เราคิดว่าครึ่งหลังๆ ที่อาโอยาม่าไปตามหายามาโมโตะจนถึงตอนจบค่อนข้างจะเป็นอะไรที่เดาได้สำหรับเรา จริงๆ ก็แอบคิดว่าทำลายบรรยากาศครึ่งแรกที่ทำไว้ได้อย่างดีด้วยเหมือนกัน

.

และส่วนที่ชอบที่สุดของเรื่อง ซึ่งทำให้เราน้ำตาตกโดยไม่รู้ตัว *สปอย* คือฉากอาโอยาม่ากลับไปเยี่ยมพ่อแม่ของเขาหลังจากลาออกไปแล้ว แน่นอนเขาไม่ได้บอกทั้งสองคนเรื่องที่เขาคิดฆ่าตัวตาย ความสัมพันธ์ของเขากับครอบครัวจะเห็นได้ว่าตลอดเรื่องนอกจากเขาจะไม่ใส่ใจพ่อแม่แล้วแล้วเขายังดูถูกพ่อเรื่องที่เคยตกงานจนต้องกลับมาอยู่บ้านย่า/ ยายด้วย หนังเรื่องนี้จึงใช้ความคิดนี้นี่แหละมาตลบหลังอาโอยาม่าและคนดูอย่างไม่ทันตั้งตัว ด้วยประโยคง่ายๆ ของคนเป็นแม่ที่บอกว่า “จำได้ไหมที่ตอนนั้นพ่อเขาตกงานตอนลูกยังเด็ก แม่บอกพ่อเองว่ามาตายกันเถอะ มาตายพร้อมกันสามคน แต่สุดท้ายก็อยากจะเห็นลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ สุดท้ายจึงไม่ได้ทำ” สำหรับเราประโยคนี้คือ ช็อค จุก มันยิ่งใหญ่มาก เราไม่เคยเห็นหนังเอเชียที่พ่อแม่ยอมรับความคิดหรือความผิดพลาดของตัวเอง แถมเรื่องนี้ยังเล่าให้ลูกฟังอย่างไม่อาย ทั้งสองยอมปลดเปลื้องอีโก้ของตัวเองเพื่อให้ลูกได้เห็นว่าพวกเขาก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น การเสียสละโดยยอมมีชีวิตอยู่แม้จะทรมานคือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ใครคนหนึ่งจะมีให้อีกคนได้พอๆ กับการยอมตายเพื่อคนที่รักเลย สำหรับเราโมเม้นต์นี้เป็นที่น่าจดจำที่สุดของหนังเรื่องนี้ มากกว่าตอนจบหรือตอนไหนๆ เสียอีก

.

สรุปแล้วถ้าถามเรา หนังเรื่องนี้ก็กลางๆ นะ ไม่ได้ถึงขนาดว่าห้ามพลาด แต่ก็เป็นหนังฟีลกู๊ดอีกเรื่องหนึ่งดูได้เพลินๆ ถ้าไม่ติดตอนจบฟีลกู๊ดจ๋าๆ เราก็ชอบธีมของหนังเรื่องนี้มากเลยทีเดียว เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหาดูได้ที่ไหน แต่ถ้าสมมติมีคนเอาเข้าไทย เราว่าก็น่าไปอุดหนุนนะ หนังดีๆ ตั้งใจทำเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการพยายามมีชีวิตอยู่ของคน (ความเป็นญี่ปุ่นสุดดดดไปอีก)

To each his own Trailer

Recent Posts
Category
bottom of page