top of page

ครั้งแรกในพม่ากับการทัวร์ไหว้พระ/ First time in Burma


ครั้งแรกในพม่ากับการทัวร์ไหว้พระ/ First time in Burma

.

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสไปพม่ามาเป็นครั้งแรกกับครอบครัว เป็นทัวร์ไหว้พระ 3 วัน หลังจากจัดการเรื่องเอกสารต่างๆ เสร็จ เราก็มาแลกเงินกัน (เงิน 1,000 จ๊าด = ประมาณ 24 บาท) แต่ก็ไม่ลืมติดบัตรเครดิตและเงินไทยใส่กระเป๋าไปด้วยเผื่อได้ใช้ (แล้วก็ได้ใช้จริงๆ นะ) พวกเราไปหาซื้อรองเท้าแตะราคาไม่แพงเพราะต้องเข้าออกวัดบ่อยมากแล้วก็เตรียมเสื้อกันฝนไปด้วย การเตรียมตัวขั้นท้ายสุดแต่สำคัญมากคือ การเตรียมขนม! พวกเราซื้อขนมไปตุนทั้งขนมถุงและ S&P ซึ่งแน่นอนว่าได้ถูกทำลายภายในสามวันจนหมดเกลี้ยง

.

วันที่ 1

.

สำหรับการเดินทางวันแรก พวกเราต้องเจอกันที่สนามบินตั้งแต่ตี 5 จากนั้นไกด์ไทย ก็จะแจกแทกกระเป๋าพร้อมแฟ้มใส่เอกสาร ในนั้นมีปากกา, ใบตม.เข้าออกที่ทัวร์เตรียมให้, แผ่นพับแพลนท่องเที่ยวทั้ง 3 วันพร้อมทั้งเกร็ดต่างๆ ของพม่าและแนบบทสวดมนต์เล่มเล็กใส่มาด้วย นอกจากนี้ทางทัวร์ก็แจกเสื้อกันฝนให้แต่ละคนเก็บไว้เพราะได้ใส่แน่ๆ (แล้วก็จริงดังเขาว่า)

.

เครื่อง Thai Lion Air เราออกเวลา 8.20 น. ไปถึงย่างกุ้งเวลา 9.30 น. (เวลาพม่าช้ากว่าไทยครึ่งชั่วโมง) หลังจากออกจากสนามบิน เราก็มาขึ้นรถบัสกัน ได้มีการแนะนำไกด์ท้องถิ่นคนพม่าพูดไทยได้ (นิสัยน่ารักมาก) สรุปทัวร์นี้มีคนของบริษัท 4 คนคือ ไกด์ไทย ไกด์พม่า คนขับรถและเด็กยกกระเป๋า(และทำจิปาถะอื่นๆ) ทางทัวร์มีการแจกองค์เทพทันใจแบบทำพิธีแล้วคนละองค์ สำหรับตารางทัวร์แต่ละวันจะไม่ตรงกับตารางที่ให้มาเพราะไกด์ต้องกะดูเวลาของแต่ละวันว่าเหลือนานแค่ไหน แต่ยังไงเขาสัญญาว่าสุดท้ายก็จะได้พาไปทุกที่ตามที่โฆษณา

.

สำหรับการใช้เงินตรา ไกด์ท้องถิ่นเขาบอกว่า ถ้าเราไม่มีแบงค์ 1,000 จ๊าดเวลาจ่ายของ เราก็ให้เขาไป 40 บาท แต่ถ้าค่าเข้าห้องน้ำ 100-200 จ๊าด เราไม่มีเงินพม่า เขาก็รับแบงค์ 20 บาท (เริ่มต้นทุกอย่าง 20 บาท ไม่รับเหรียญไทย) ดังนั้นเราแนะนำแลกเงินพม่าไปดีที่สุด

.

พวกเราออกจากตัวเมืองย่างกุ้ง มุ่งหน้าไปยังเมืองหงสาวดี (Bago) ที่แรกที่เรามาเคารพคือ พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว/ พระนอนยิ้มหวาน (Shwethalyaung Buddha, Bago) ที่นี่มีตลาดเต็มไปด้วยร้านค้าขายไม้แกะสลักและขายผ้า จากนั้นพวกเราก็ไปเจดีย์ชเว-มอดอร์ พระธาตุมุเตา (SHWEMAWDAW PAGODA, Bago) ทำความเคารพแล้วเอาธูปปักที่ใต้เจดีย์

.

ความจริงเราเตรียมทิชชู่เปียกมาในทริปนี้ด้วยเยอะมาก แต่กลายเป็นว่าทัวร์เราจะแจกผ้าเย็นทุกครั้งเพราะเวลาไปวัดต้องถอดรองเท้า เขาจะบอกว่าบางทีให้ทิ้งรองเท้าไว้ที่รถถ้าจอดใกล้ๆ วัด แต่โดยมากจะถอดรองเท้าไว้ในวัดเสียมากกว่า และถ้าฝนตกตอนลงรถทัวร์เค้าก็จะมีร่มเตรียมไว้ให้อีกทีหนึ่ง ซึ่งสะดวกดีมาก บริการประทับใจ

.

จากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองไจ้โท, มอญ (Kyaikto, Mon State) เพื่อขึ้นพระธาตุอินทร์แขวน พวกเรามาหยุดที่คิ้มปูนแคมป์เพื่อเปลี่ยนเป็นรถหกล้อท้องถิ่นนั่งขึ้นไปประมาณ 40 นาที ในส่วนของสัมภาระ เราเตรียมเสื้อผ้าและของใช้สำหรับ 1 คืนเท่านั้นใส่ Carry-on ไป กระเป๋าที่เหลือเก็บไว้ที่รถบัส กระเป๋า Carry-on เราจ้างลูกหาบช่วยแบกขึ้นไปถึงโรงแรม ราคาขาขึ้น-ลง ครั้งละ 2,000 จ๊าด/ 1 ใบเท่านั้นเอง (ราคาขึ้นกับขนาดกระเป๋า) สำหรับรถหกล้อถือว่าค่อนข้างซิ่งเลยทีเดียว ทางขึ้นเขาก็เป็นแบบหักศอก ถ้าไม่โปรจริงขับขึ้นมาไม่ได้แน่ ระหว่างทางก็จะได้เห็นป่า ต้นไม้เขียวขจี แล้วก็มีน้ำตกด้วย พวกเราทุกคนถูกฝนสาดเทเข้ามารอบทิศขณะนั่งรถแต่ก็สนุกดี คิดว่าเหมือนเล่นล่องแก่งสมัยเด็กๆ มาเที่ยวครั้งนี้เราไม่กลัวฝนเลย ชุ่มชื่นหัวใจดี พอมาถึงยอดเขาเราก็ลงรถแล้วเดินเท้าต่อขึ้นเขาไปกันเอง สำหรับชาว สว. ก็ไม่ต้องกังวล สามารถจ้างเสลียงคนหามขึ้นไปได้ ก่อนจะขึ้นไปบริเวณวัด เราจะต้องมีการชำระเงินค่าเข้าพระธาตุฯแต่ไกด์ท้องถิ่นจัดการให้เรียบร้อย เราก็จะได้รับป้ายบัตรผ่านมาคล้องคอแทน

พอเราเดินขึ้นมาถึงบริเวณวัดพระธาตุอินทร์แขวน/ เจดีย์ไจ้ทีโย (Kyaiktiyo Pagoda, Mon State) เราก็พบว่าข้างบนหมอกเต็มไปหมดแทบจะมองไม่เห็นคนเลยทีเดียว ก็ต้องค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ เพราะฝนตก พื้นค่อนข้างลื่น อันนี้ต้องระวังหน่อย ระหว่างทางก่อนถึงพระธาตุเราได้ไปไหว้ชเวนานจินขอพรเรื่องสุขภาพแล้วก็ทำบุญสร้างทางด้วย ฝั่งตรงข้ามชเวนานจินจะเป็นพิพิธภัณฑ์ของพระธาตุอินทร์แขวนสามารถเดินเข้าไปชมได้ พอเราเดินมาเรื่อยๆ เราก็จะได้เห็นพระธาตุฯ พวกเราได้ทำการไหว้รอบแรกกัน จากนั้นทำการเช็คอินที่โรงแรม ซึ่งทัวร์นี้ให้พักโรงแรมที่อยู่ติดกับพระธาตุฯเลยเพื่อให้เราสามารถมาไหว้พระธาตุได้ 3 ครั้ง เนื่องจากความเชื่อในชีวิตคนพม่าว่าต้องมาไหว้ทั้งหมด 3 ครั้ง แล้วขออะไรก็จะสำเร็จ

.

สำหรับโรงแรมก็เป็นห้องสแตนดาร์ดทั่วไป แต่มีน้ำร้อนให้อาบน้ำเราก็โอเคมาก ไกด์บอกแต่แรกว่าห้องจะชื้นเพราะบนพระธาตุฯ ไม่มีแสงแดด ซึ่งตรงนี้ก็เป็นดังคาดแต่นอนแค่คืนเดียวไม่มีปัญหา ส่วนที่เรากังวลเป็นเรื่องการเดินเหินจะลื่นล้มเสียมากกว่าโดยเฉพาะเวลาขึ้นลงบันไดระหว่างห้องนอนกับห้องอาหาร

.

หลังจากนั้นพวกเราก็ทานอาหาร แล้วเขียนกระดิ่งที่ซื้อมา เสร็จแล้วไกด์ก็พาไปไหว้อีกรอบพร้อมนำสวดมนต์และแขวนกระดิ่ง จากนั้นเราไหว้พระทันใจ/นัตโบโบจี (ซึ่งมีทุกวัดนะ) ของพระธาตุฯ คืนนี้พวกเราเข้านอนกันเร็ว

.

วันที่ 2

.

วันนี้ทัวร์ให้ตื่นตั้งแต่ 4.30 น. พนักงานโรงแรมมาไล่เคาะห้องตรงตามเวลา เรานัดทานข้าวตอน 5.30 น. แล้วเช็คเอ้าท์พร้อมกันตอน 6.30 น. นัดเจอกันที่ท่ารถหกล้อตอน 7.30 น.

ตั้งแต่ช่วงทานข้าวเราจะเห็นพระสงฆ์ออกมาบิณฑบาตรกันถึงในโรงแรม บางคนก็ซื้อของตักบาตรเป็นชุดๆ จากโรงแรม บางคนก็ให้เป็นปัจจัย เราสามารถให้เป็นปัจจัยได้ เพราะพระที่นี่เวลารักษา เวลาเดินทางทุกอย่างคือออกเงินเอง

.

ช่วงปล่อยเดินเองเวลา 6.30 น. - 7.30 น. เราเดินกันลงมาใส่บาตรพระพุทธฯ (เป็นข้าว, ข้าวเหนียว) จานละ 1,000 จ๊าด ซื้อของที่ระลึกด้วย เด็กๆ ขยัน อยากทำมาค้าขายกันเยอะมากๆ พูดภาษาไทยได้กันหมด มีมาอ้อนๆ ด้วย น่ารักกันดี ระหว่างทางที่ลงเขาก็ยังเห็นพระสงฆ์เดินขึ้นมากันเยอะเหมือนกัน ซึ่งไกด์ท้องถิ่นบอกมีถึงประมาณ 9 โมงเช้า พอเราลงมาถึงบริเวณท่ารถก็ยังเห็นคนเดินขายของเยอะเหมือนข้างบน เราไม่รู้ว่าข้างบนหรือล่าง ถูกแพงกว่ากันนะ เพราะพอคิดเป็นเงินไทยก็ไม่เยอะเลย แต่ไกด์ท้องถิ่นเค้าก็แนะนำให้ต่อราคาได้

.

พวกเรานั่งรถหกล้อลงมาข้างล่างอีกประมาณ 40 นาทีแล้วขึ้นรถทัวร์ตัวเองขับกลับมาหงสาเพื่อไปที่วัดไจ้คะวาย (Kya Khat Wine Monastery, Bago) วัดนี้มีพระ 500 รูป มาเพื่อเรียนหนังสือ นอกจากเราจะตักบาตรข้าวแล้ว เรายังถวายข้าวสาร 1 เซต 1,000 บาท 35,000 จ๊าดอีกด้วย (จำไม่ได้จริงๆ ว่าเป็นข้าวสารกี่กิโล) เนื่องด้วยพระมาบวชเรียนที่นี่ ถ้าใครจะถวายดินสอปากกาก็สามารถทำได้เช่นกัน

.

สถานที่ต่อไปที่เราไปถึงคือพระราชวังบุเรงนอง (Kanbawzathadi Palace, Bago) เป็นพระราชวังจำลองเพราะของเก่าถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว ที่นี่ได้มีการนำเอาไม้สักของเก่ามาตั้งเทียบกับเสาใหม่และบอกว่าไม้สักแต่ละท่อนเป็นเครื่องราชบรรณาการจากเมืองไหน เราได้เห็นบัลลังก์สิงห์ซึ่งไว้ว่าราชการ ยิ่งใหญ่และสวยงามมาก บัลลังก์นี้เป็นหนึ่งในแปดบัลลังก์ที่บุเรงนองมี โดยแต่ละบัลลังก์จะใช้เพื่อกิจแตกต่างกันไป

.

จากนั้นเราก็ไปไหว้พระพุทธรูปไจ้ปุ่น (Kyaikpun Pagoda, Bago) พระพุทธรูปปางมารวิชัย 4 ด้าน 4 ทิศ ซึ่งมีเรื่องเล่าของพี่น้องหญิงล้วน 4 คนที่สัญญาร่วมกันว่าจะไม่แต่งงานแต่คนเล็กผิดคำสัญญาจึงทำให้พระพุทธรูปพังลงมาแต่ได้ทำการบูรณะแล้ว ต่อมาพวกเราก็มาดูพญาช้างเผือก (Royal White Elephants at Hsin Hpyu Daw Park) เป็นเวลาสั้นๆ ที่นี่มีงาช้างแกะสลักเล็กๆ ขายและมีขนหางช้างขายด้วย เป็นตุ้มหู แหวน ไว้พกติดตัว

.

ทริปวันนี้ยังไม่หมด เราไปต่อกันที่เจดีย์โบตาทาวน์ (Botataung Pagoda, Yangon) โดยพวกเราไปไหว้เทพทันใจ (นัตโบโบยี/ Bo Bo Gyi) กันก่อนเพราะแถวยาว (คนไทยเยอะอยู่) เราซื้อเครื่องบูชา 1 ชุด (ซึ่งตรงนี้ไม่ได้บังคับซื้อนะ) ในนั้นจะได้ผ้าแพรด้วยเราก็ถือผ้าแพรขึ้นมา หลังจากเราขอพรก็เอาผ้าแพรห่มท่าน ส่วนวิธีไหว้เทพทันใจคือให้ใช้แบงค์พม่ากับแบงค์ไทยพับเป็นสองชั้น นำไปเสียบไว้ที่นิ้วมือท่าน จากนั้นเราก็เอาหน้าผากเราไปชนกับนิ้วชี้ของท่านพร้อมขอพร 1 ข้อที่ต้องการในปีนี้ เสร็จแล้วเราก็นำแบงค์ออกมา โดยแบงค์พม่าเราใส่ตู้บริจาค ส่วนแบงค์ไทยเราเก็บไว้เป็นเงินขวัญถุง ในบริเวณวัดเรายังไปไหว้พระเกศาธาตุ แถวค่อนข้างยาวเพราะเป็นหน้าต่างเล็กๆ ดูได้ทีละ 2-3 คนเท่านั้น เสร็จแล้วเราก็ข้ามถนนไปไหว้เทพกระซิบ (อะมาดอว์เมียะ) ช่วงที่เราไปเป็นช่วงเข้าพรรษาที่พม่า เทพกระซิบจึงได้รับการแต่งตัวเป็นแม่ชีของพม่า เราก็ซื้อของถวายและขอพร ตอนนี้พวกเราไม่ได้กระซิบเองโดยตรงแล้วเพราะมีที่กั้น แต่จะมีคนมาดูแลและสวดมนต์ให้ระหว่างขอพร

.

.

ที่สุดท้ายของวันนี้แน่นอนเราต้องมาที่เจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda, Yangon) เมื่อเรามาถึง เราต้องมาฝากรองเท้าที่เคาเตอร์ก่อน โดยต้องจำเบอร์ตะกร้ารองเท้าตัวเองเอาไว้ด้วยเพราะตอนขากลับเค้าเทรองเท้าพวกเรากองรวมกันไว้ที่พื้นพร้อมเอาเลขวาง พอเราเท้าเปล่าก็เดินเข้ามาภายในเจดีย์เราจะได้น้ำเปล่ากับผ้าเย็นฟรีคนละหนึ่งชุด ซึ่งก็ดูจะเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าจะได้ผ้าเย็นหลังกลับมาจากทุกวัดเพื่อเอาไว้เช็ดเท้า พวกเราขึ้นลิฟท์มาถึงเจดีย์ฯ ทัวร์เรานำสวดมนต์อีกครั้งและแนะนำให้รดน้ำที่เสาประจำวันเกิด ซึ่งที่นี่ไม่มี 12 นักษัตรแบบคนจีน แต่จะเป็น 7 นักษัตรตามวันเกิด แต่ละมุมของเจดีย์จะมีเสาอยู่ แต่ละเสาไม่ได้เรียงตามวันจันทร์ อังคาร พุธ ดังนั้นเราต้องเดินหาของตัวเองแล้วทำการรดน้ำเสาของตัวเองที่มีทั้งเทพประจำตัว, พระพุทธและนักษัตรประจำตัว หลังจากทำความเคารพกราบไหว้เจดีย์เสร็จ หากมีเวลาไปไหว้ที่ศาลาพระสุริยาจันทรา, พระทันใจ, พระอินทร์ด้วย นอกจากนี้ เรายังสามารถทำบุญถวายเงินเป็นค่าไฟฟ้าได้อีก ในส่วนของร้านขายของที่ระลึกมีอยู่ด้านล่างเจดีย์แต่เราไม่ได้มีเวลาเข้าไปเดินดูเลยไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างหรือราคาเท่าไหร่ รู้แต่ขายเป็นเงิน USD

.

วันที่ 3

.

วันนี้วันสุดท้ายแล้วเลยได้ชิวหน่อย morning call 6.00 น. บริการโทรปลุกที่ห้อง ทานอาหารเช้าที่โรงแรมตอน 7.00 น. เป็นบุฟเฟต์และเช็คเอ้าท์ตอน 8.00 น. โปรแกรมแรกและโปรแกรมเดียวของเช้านี้คือ การเดินทางไปเมืองสิเรียม (Syriam) เพื่อไปไหว้เจดีย์กลางน้ำ/ เจดีย์เยเลพญา (Yele Paya, the Floating Pagoda) โดยวัดนี้ตั้งอยู่เกาะกลางน้ำดังชื่อเรียก ก่อนข้ามฝั่งเราต้องซื้อดอกไม้ธูปข้าวตอกก่อนเพราะไม่มีขายที่เกาะ จากนั้นจึงลงเรือไปใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 5 นาทีก็มาถึงอีกฝั่งแล้ว พวกเราได้ไหว้เวียนเทียน 3 รอบและได้มีโอกาสกราบไหว้พระอุปคุต จากนั้นก็โยนข้าวตอกให้ปลากิน ทัวร์เราติดฝนแต่โชคดีตกไม่นานก็หยุด พวกเราก็ข้ามฝั่งกลับเข้ามาโดยตอนลงเรือจะมีพวกเด็กๆ มาช่วยจับพาเราลง หรือไม่ก็มาขายของ ไกด์ท้องถิ่นบอกว่าสมัยก่อนเด็กพวกนี้คือขอทานแต่ตอนนี้ก็พยายามหาอะไรทำเพื่อให้ได้เงิน เราว่าดีมาก ดูขยันกันทุกคนเลย

.

กว่าเราจะมาถึงย่างกุ้งอีกทีก็ช่วงบ่ายแล้ว พวกเรามีเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงที่ตลาดสก๊อต/ ตลาดโบโจ๊กอองซอน (Scott Market/ Bogyoke Aung San Market) ไกด์บอกว่าพวกพลอย หยกทุกอย่างที่นี่คือ ของจริง มีขายผ้าพม่าด้วย ต่อกันดีๆ นะ ห้องน้ำที่นี่ก็เสียเงิน 200 จ๊าดสำหรับนักท่องเที่ยว แต่จริงๆ เราต้องได้กระดาษฟรีและได้เข้าห้องที่มันล็อกเอาไว้ที่สะอาดๆ ด้วย ถ้าเขาให้เข้าห้องปกติก็อย่าไปยอม ห้องอื่นสะอาดไม่เท่า

.

ที่ต่อไปที่เราไปไหว้คือพระพุทธไสยาสน์เจ๊าทัตจี/ พระนอนตาหวาน (Kyauk Htat Gyi Reclining Buddha) ซึ่งตอนนี้กำลังบูรณะอยู่ เราก็ไปไหว้ ตีฆ้องแล้วก็รดน้ำนักษัตรประจำวันเกิดเหมือนเดิม

.

ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการไปไหว้พระหินอ่อน (Kyauk Taw Gyi Pagoda/ Lawka Chantha Abaya Labamuni Buddha Image, Yangon) ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพญาช้าง วัดนี้จะมีเด็กตัวน้อยนั่งเรียงกันคอยเรียกให้ชั่งน้ำหนักอยู่เป็นทิวแถว ใครอยากทำทานให้น้องก็เชิญได้เลย น้องยิ้มแย้มแจ่มใสน่ารักกันทุกคน

.

หลังจากไหว้พระเสร็จก็ถึงเวลากลับบ้านเรา วัดสุดท้ายนี้ใกล้สนามบินมาก นั่งรถไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึงแล้ว เครื่องของพวกเราออกตอนเกือบสามทุ่ม มาถึงไทยเกือบห้าทุ่ม เป็นอันว่าจบทริปไหว้พระ 3 วันอย่างสุขสวัสดิ์ ความจริงตารางไหว้พระ 3 วันเหมือนจะแน่นมากนะ แต่เอาเข้าจริงกลับมีเวลาได้หายใจหายคอ พักผ่อนตามอัธยาศัยอยู่เหมือนกัน ตลอดเวลาฝนตกตัวเปียกปอนพอประมาณ แต่เราโอเค กลัวการลื่นล้มเสียมากกว่า สำหรับอาหารการกินเราไม่ได้กินอาหารพม่าแท้นะ ทัวร์จัดให้เป็นกึ่งๆ ไทย จีน มีกุ้งแม่น้ำย่างตลอด ซีฟู้ดตลอดเลย ก็โอเคดี ความประทับใจต่อทริปนี้เรียกได้ว่าเต็มร้อย เราอยากกลับไปเยือนเพื่อท่องเที่ยวและทำบุญอีกแน่นอน ส่วนใครที่กำลังคิดๆ อยู่ว่าไปพม่าดีไหม เราอยากเชียร์ว่าไปเถอะ โดยเฉพาะถ้าเป็นสายพาครอบครัวพ่อแม่ปู่ย่าตายายไปทำบุญซื้อทัวร์เลย สบายกายสบายใจแน่นอน

Recent Posts
Category

© 2024 Kanchalee Deganis-Librera

    bottom of page